เรื่องเงิน กับ ครอบครัว เราคุยกันน้อยไปไหม?

เรื่องเงิน เรื่องทอง ถูกทำให้เป็นเรื่องที่ “น่ากลัว” เมื่อต้อง “คุย” กัน ยิ่งกับคนในครอบครัวด้วยแล้วยิ่งเป็นเรื่องยาก สาเหตุอาจจะมาจากสิ่งที่หล่อหลอมเรามาโดยที่เราไม่รู้ตัว ทั้งจากที่เราได้ยิน และได้เห็น ทำให้ “เงิน” กลายเป็นตัวที่กำหนดชีวิต ถ้าขาดเงินนั่นก็อาจจะหมายถึงขาดชีวิตด้วยเช่นกัน มันจึงกลายเป็นเรื่องที่น่ากลัวไปโดยปริยาย

หลายครั้งที่ ฮูกกลับมาตั้งคำถามกับตัวเองว่า เพราะอะไรเราถึงไม่กล้าคุยเรื่องเงินกับครอบครัว? และพอเอาเรื่องนี้ไปถามกับคนสนิทรอบตัวก็พบว่าทุกคนมีปัญหาคล้าย ๆ กัน ฮูกเลยสรุปปัญหาใหญ่ ๆ พร้อมแนวทางแก้ไขออกมาได้ 3 เรื่อง ไปดูกันเลยว่ามีอะไรบ้าง

1. ความคิด VS คำพูด

สาเหตุใหญ่อันดับต้น ๆ เลย คือ “ความคิด”

เรามักจะชอบคิดว่าเงินคือภาระที่เราต้องรับผิดชอบและแบกรับเรื่องนี้ไว้คนเดียว โดยเฉพาะ “คนหาเลี้ยงครอบครัว” เพราะมีความคิดที่ว่าการมาเล่าให้คนอื่นในครอบครัวฟังเหมือนเราผลักภาระไปให้คนที่เรารัก และทำให้เขาต้องเป็นทุกข์ไปด้วย ดังนั้นเวลามีปัญหาเรื่องเงินเลยเลือกที่จะเก็บมันไว้ และไม่ยอมพูดออกมา

คำพูดที่มักออกมาจากปากเราเวลามีปัญหาคือ “ไม่เป็นไร” แต่ความคิดกลับตรงกันข้าม จะดีกว่าไหมถ้าเราสามารถพูดเรื่องเงินกับครอบครัวตรง ๆ ได้เป็นเรื่องปกติ ไม่พอก็บอกว่าไม่พอจะได้ช่วยกันลด ฮูกเชื่อว่าไม่มีใครในครอบครัวหรอกที่มองว่าเงินเป็นภาระของคุณเพียงคนเดียว และที่สำคัญเลยคือ “ทุกคน” สามารถเป็นคนหาเลี้ยงครอบครัวได้ ดังนั้นอย่ากดดันตัวเองมากไปเลยนะครับ

เปลี่ยนความคิดกันเถอะครับว่าเรื่องเงินเป็นเรื่องที่คุยกับครอบครัวได้ ยิ่งช่วยกันแก้ปัญหาก็ยิ่งคลายง่ายและคลายเร็ว อย่าเลือกที่เก็บความทุกข์ไว้คนเดียวแต่เลือกที่จะช่วยกันสร้างสุขดีกว่าครับ

2. ความลับ (เรื่องเงิน) ไม่มีในโลก

สาเหตุต่อมา คือ “ความหวังดี” เพราะเราหวังดีกับคนที่เรารัก กลัวเขาจะคิดมาก เลยเลือกที่จะไม่พูด และเก็บเรื่องเงินไว้เป็นความลับ

“ฉันกลัวว่าแม่จะคิดมาก หากรู้ว่าฉันกู้เงินมาใช้”
“พี่จะคิดยังไง หากฉันซื้อรถใหม่ได้ก่อนพี่
“ลูกจะอยู่ยังไง ถ้าบ้านยังผ่อนไม่หมด”

แต่ความลับมันไม่มีในโลกนี่สิครับ สุดท้ายคนที่บ้านก็จะรู้ทีหลังอยู่ดี ถึงตอนนั้นถ้ามันดันกลายเป็นปัญหาขึ้นมา แล้วมาโทษใส่กัน ความหวังดีที่เราเก็บมาตลอด มันจะกลับกลายเป็นไร้ค่าเลยนะครับ “ทำไมไม่บอกตั้งแต่แรก” “มันน่าจะมีทางออกที่ดีกว่านี้ไหม”

ทางออกที่ดีที่สุดคือ อย่าคิดเอาเองแล้วหันมาคุยเรื่องเงินกับคนในครอบครัวดีที่สุดครับ อย่าเก็บปัญหาที่เหมือน “ระเบิดเวลา” ที่รอวันทำลายตัวเองและคนที่เรารักเลยครับ

3. ความกล้าที่จะเปิดใจคุยกัน เริ่มต้นที่ “คำถาม”

ปัญหาสุดท้าย คือ ความกล้า หลายคนให้ความสำคัญกับเรื่องเงินเรื่องทอง และรู้นะว่าเป็นเรื่องที่ต้องคุยร่วมกัน แต่พอเอาเข้าจริงกลับรู้สึกยากที่จะต้องเป็นคนเริ่ม และคิดในใจว่า .. ทำไมต้องเป็นฉัน?

งั้นฮูกขอถามกลับ .. ถ้าไม่เป็นคุณแล้วจะเป็นใคร? ไม่ต้องกลัวแล้วเริ่มเลยครับ การคุยกันเรื่องเงินมันไม่น่ากลัวอย่างที่คิด .. แล้วต้องเริ่มยังไง? เริ่มอย่างงี้ครับ

ขั้นแรก : ก่อนอื่นต้องเปิดใจ และ บอกตัวเองก่อนว่า

“ฉันไม่ได้มาแก้ปัญหา” แต่ “ฉันอยากเห็นความสุขในครอบครัวของฉัน” ลองเปลี่ยนจุด Focus จากปัญหาเป็นความสุขดูครับ เพราะถ้าเรามองแต่ว่ามันคือปัญหาเราจะเริ่มมองมันเป็นเรื่องยากและกลัวที่จะแก้มัน แตกต่างจากความสุขที่เราจะรู้สึกอยากได้ และพยายามหาทางออกมากมายเพื่อให้ได้มันมา เห็นไหมครับว่าการเปลี่ยนจุด Focus เพียงนิดเดียวช่วยให้เรามีความกล้ามากขึ้น กล้าที่จะคิดและกล้าที่ทำ

ขั้นที่สอง : อย่าเพิ่งหาคำตอบ ให้เริ่มจาก .. “คำถาม”

“เราขายบ้านดีไหม” เปลี่ยนเป็น “เพราะอะไรพ่อถึงซื้อบ้านหลังนี้”
“ขอหักเงินแม่เพื่อเป็นค่ารักษานะ” เปลี่ยนเป็น “แม่คิดยังไง เรื่องค่ารักษาพยาบาล”
“จะซื้อรถนะ ทุกคนจะได้ใช้ด้วยกัน” เปลี่ยนเป็น “ถ้าจะมีรถสักคน จำเป็นไหม”

เห็นไหมครับ ว่าแค่เปลี่ยนเป็นคำถาม มันก็ดูไม่ใช่เรื่องยากเลยที่จะคุยกัน

หากเราเริ่มจากคำตอบที่เราอยากได้ สุดท้าย ก็จะเป็นเราอยากได้แค่ฝ่ายเดียว แต่หากเปลี่ยนใหม่ เริ่มจากคำถามที่เต็มไปด้วยความห่วงใย และมาจากความหวังดีอย่างแท้จริง … เราก็จะมีความกล้าที่จะคุยและฮูกเชื่อว่าเราจะเจอทางแก้ที่ดีกว่าการคิดคนเดียวแน่นอนครับ

วันนี้ฮูกอยากให้เกิด New Normal ของการคุยเรื่องเงินกันในบ้านได้ไหมครับ ลองคิดตามนะครับว่า

จะดีไหม .. หากตื่นมาแล้วแม่ถามว่า “มีเงิน 1,000 กลางวันอยากกินอะไรดี”
จะดีไหม .. หากพ่ออยากจะซื้อบ้าน แล้วถามว่า “พ่ออยากซื้อเก็บไว้ให้ พวกเธอคิดเห็นอย่างไร”
จะดีไหม .. หากน้องจะกู้เงินมาลงทุน แล้วพี่ช่วยแนะนำน้องเรื่องกู้เงินได้

ฮูกอยากเห็นการคุยเรื่องเงินเรื่องทองเป็นเรื่องปกติในบ้าน และสร้างให้เป็นเรื่องที่คุยกันได้ใน “ทุก ๆ วัน” ความสุขของคนในครอบครัว ไม่ได้เกิดจากการมีเงินทองมากมายหรอกครับ แต่มันเกิดจากการที่ต่างคนต่างรู้ต่างเข้าใจ เห็นความเป็นไปของเงิน แล้วช่วยกันแก้ไขไปพร้อม ๆ กันต่างหากครับ